Categories
Book hits
-
'' พ่อเป็นมะเร็ง ... หนูเป็นลูคีเมีย ... เเม่เขาทิ่งเราไป .. เข้มเเข็งไว้นะพ่อ ... " ผมขอเรียกว่าเป็นนิยายเพื่อชีวิตก็ว...
-
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2554 ( บทความเก่า ) ผมได้ไปเดิน Se-ed book กับเพื่อน อยู่ๆเห็นหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า การลาออกครั้งสุดท้าย "Th...
-
เพราะความสุขมีหลายมิติ จนทำให้เรานั้นหลงลืมไปว่าความสุขนั้นมีอยู่รอบๆตัวเราเสมอ - face2cu เริ่มต้นด้วยประโยคเด็ดที่ผมได้รับจากการอ่าน...
-
"สบตากับความทุกข์อย่างกล้าหาญ และจัดการให้ถึงจิตใต้สำนึก" เขียนโดย รุ่งพร มีศิลป์ หนังสือเล่มนี้ผมเจอในบ้านครับ พี่สาวผมซ...
Páginas vistas en total
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
เกี่ยวกับฉัน
Blog Archive
Archive for 2013
Bookshelf
สวัสดีครับ ขอต้อนรับการ review หนังสือคร่าวๆ แนวการเขียนของผมเองครับ เบื้องต้นเพื่อใช้ในการตัดสินใจนะครับ โดยเนื้อหาผมจะมีการเขียนเนื้อหาแค่บางส่วน วิเคราะห์เพิ่มเติม และแนวคิดที่ผมได้จากหนังสือครับ หากท่านๆ เห็นว่าหนังสือน่าสนใจ ก็เชิญสนับสนุนผู้เขียนกันะครับ
หากอยากจะ comment หรือให้กำลังใจ ช่วย comment ด้วยนะครับ
"เจ็บแต่จบ" | การลาออกครั้งสุดท้าย | กาซิโกกิ | พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ |
| |||
Happiness Is All Around | สิ่งมีชีวิตในโรงแรม | . | . |
face2cu
พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ โดย คิมรันโด
สับสน . . . อ่อนล้า . . . เจ็บปวด
ล้มเหลว . . . พ่ายแพ้ . . . เสียใจ
เพราะเป็นเพียงแค่คนหนุ่มสาวคนหนึ่ง
ล้มเหลว . . . พ่ายแพ้ . . . เสียใจ
เพราะเป็นเพียงแค่คนหนุ่มสาวคนหนึ่ง
หนังสือพัฒนาตัวเองหลายๆเล่มนั้นผู้เขียนส่วนใหญ่ต้องมี Degree เป็นถึงขั้นนักพูด หรือจบปริญญาเอก ที่มีชื่อเสียงดัง แต่ถ้าหากเจอหนังสื่อเล่มเป็นเพียงแค่ครู คนนึงซึ่งมีความตั้งใจที่เขียนหนังสือ
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ ชื่อหนังสือที่อ่านแล้วก็งง ว่า อะไรหวั่นไหว หวั่นไหวยังไง ซึ่งผมได้อ่านเล่มนี้จนจบ ก็พบว่าเรื่องง่ายๆ บางครั้งเราก็ไม่เคยคิดถึง หรือเรื่องบางเรื่องที่เรากลุ้มใจมากมายจริงๆแล้วหลายๆ คนบนโลกนี้ก็พบเจอเช่นเดียวกันเพียงแต่เค้าก็ไม่บอกเล่ากันเท่านั้นเอง
แนวการเขียนของคิมรันโดจะเป็นลักษณะการเขียนตอบจดหมายประมาณว่ามีคนเขียนมาเล่าเรื่องความทุกข์ แล้วคุณครูก็ตอบกลับพร้อมให้กำลังใจ นี้ถ้าหากออกวิทยุก็อาจจะเหมือนกับ club friday ก็ได้
ซึ่งเมื่ออ่านแล้ววิธีการแก้ไข หรือการปลอบโยน ซึ่งครูคนนี้ช่างเขียนจดหมายได้ลึกซึ้งมากๆครับ มีการเล่าเรื่อง ยกตัวอย่างเพื่อสร้างกำลังใจ ผ่าฟันไปได้อย่างกล้าหาญครับ
ในหนังสือจะมี 4 part
Part 1 จงรักในชะตาชีวิตของคุณ
Part 2 จงก้าวไปสู่โลกภายนอก
Part 3 จงพบ จงรัก และจงใช้ชีวิต
Part 4 แด่คุณที่กำลังจะฟื้นคืนชีพ
หากสนใจลองไปหาอ่านครับ มุมมองง่ายๆ ที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ง่ายขึ้นครับ
face2cu
Tag :
พัฒนาตนเอง,
กาซิโกกิ โดย โจชางอิน
'' พ่อเป็นมะเร็ง ... หนูเป็นลูคีเมีย ... เเม่เขาทิ่งเราไป .. เข้มเเข็งไว้นะพ่อ ... "
ผมขอเรียกว่าเป็นนิยายเพื่อชีวิตก็ว่าได้ครับ เพราะเนื้อหาในเรื่องดูจะหดหู่มากๆ จริงไหม จนหลายๆคนบอกว่า แค่อ่านคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ผมก็กลับตั้งใจซื้อมาอ่านดูครับ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะการเขียนเล่าเรื่องนั้นมีเนื้อเรื่องครบทุกเรื่องราว ไม่ได้มุ่งหน้าสู่ความหดหู่เพียงอย่างเดียวครับ
เนื้อเรื่อง เปิดฉากที่ลูกต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยายาล ซึ่งไม่มีโอกาสได้ไปเจอเพื่อนๆ หรือได้ไปเรียนเหมือนเด็กคนอื่น นับวันอาการก็มีแต่จะแย่ลง จนพ่อมองว่าถ้าอยู่ต่อไปอาจจะทำให้ลูกยิ่งแย่ลง พ่อตัดสินใจคุยกับหมอ ขอตัวลูกเพื่อที่จะได้ออกไปเที่ยวทะเล ซึ่งเมื่อได้ออกจากโรงพยาบาล พ่อก็ทิ้งงานนักเขียนไป เพื่อพาลูกไปเที่ยว ระหว่างที่เที่ยวที่ทะเล ได้พาลูกไปโรงเรียนร้าง แห่งหนึ่ง ได้เข้าไปในห้องเรียน ทั้งคู่มีความสุขมากๆ จำลองเหตุการณ์ในโรงเรียน และได้แกะสลักชื่อลูกบนโต๊ะ จากนั้นก็อยู่ที่ทะเล พักบ้านเล็กๆ จนกระทั่งลูกมีอาการป่วยอีกครั้ง
หลังจากพากลับมาที่โรงพยาบาล พร้อมกับอาการป่วยที่กำเริบมากขึ้น แต่ความหวังกลับปรากฎ เมื่อหมอแจ้งว่ามีคนบริจาคไตที่เหมาะสมสามารถปลูกถ่ายได้ แต่ด้วยเงินของพ่อที่เหลือน้อย จึงกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ว่าจะหาเงินมาจากไหนเพื่อเปลี่ยนไตให้กับลูก ซึ่งตัวลูกเอง ก็เข้าใจ และเคยเปลี่ยนไตแต่ก็มีปัญหาจึงไม่อยากที่จะเปลี่ยนอีก แต่ความเป็นพ่อที่อยากให้ลูกหาย ก็พยายามเขียนหนังสือ เบิกเงินล่วงหน้า ยืมเงิน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงมีทางเลือกนึง คือ การขายไต เพื่อแลกกับเงินก้อน การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องลำบากมาก เพราะเป็นการสูญเสียร่างกายไป พ่อเหลือเวลาตัดสินใจน้อยลงทุกที เพราะไตทีมีคนบริจาคนั้นอาจจะมีคนมาขอเปลี่ยนไปก่อนก็ได้ เมื่อทุกอย่างพร้อม พ่อจึงติดต่อกับโรงพยาบาลเพื่อขายไต ซึ่งต้องมีการตรวจร่างกายต่างๆ แต่แล้วผล กลับทำให้พ่อไม่สามารถขายไต ได้เพราะ พบว่า พ่อนั้นเป็นมะเร็ง ต้องกลับไปรักษาก่อน
เมื่อโอกาสรอดของลูกเกิดขึ้น แต่ปรากฎว่าพ่อนั้นกลับเป็นโรคร้ายอีก โลกช่างใจร้ายจริงๆ เลย แต่ด้วยความเป็นพ่อนั้นก็ยังคงต้องทำหน้าที่ความเป็นพ่อต่อไป เค้าเก็บความลับนี้ไว้ แต่เพื่อนสนิทของพ่อที่ทราบข่าว บอกให้พ่อไปรักษา แต่พ่อก็กันเงินไว้สำหรับลูก
จนกระทั่งแม่ผู้ทิ้งพ่อและลูกไป กลับมาจากประเทศฝรั่งเศส มาเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล จึงได้ต่อว่าผู้เป็นพ่อว่าทำไมดูแลให้ลูกป่วยได้ขนาดนี้ และได้ยื่นข้อเสนอนึง คือ แม่จะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจะรับลูกไปอยู่ฝรั่งเศส . . .
ผมเล่าเรื่องเกือบจะจบแล้วแต่ขอทิ้งท้ายไว้ให้ทุกท่านไปอ่านต่อดีกว่า ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร สนุก ซึ้ง ประทับใจมากๆครับ
ประทับใจสุดๆ
face2cu
เมื่อโอกาสรอดของลูกเกิดขึ้น แต่ปรากฎว่าพ่อนั้นกลับเป็นโรคร้ายอีก โลกช่างใจร้ายจริงๆ เลย แต่ด้วยความเป็นพ่อนั้นก็ยังคงต้องทำหน้าที่ความเป็นพ่อต่อไป เค้าเก็บความลับนี้ไว้ แต่เพื่อนสนิทของพ่อที่ทราบข่าว บอกให้พ่อไปรักษา แต่พ่อก็กันเงินไว้สำหรับลูก
จนกระทั่งแม่ผู้ทิ้งพ่อและลูกไป กลับมาจากประเทศฝรั่งเศส มาเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล จึงได้ต่อว่าผู้เป็นพ่อว่าทำไมดูแลให้ลูกป่วยได้ขนาดนี้ และได้ยื่นข้อเสนอนึง คือ แม่จะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจะรับลูกไปอยู่ฝรั่งเศส . . .
ผมเล่าเรื่องเกือบจะจบแล้วแต่ขอทิ้งท้ายไว้ให้ทุกท่านไปอ่านต่อดีกว่า ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร สนุก ซึ้ง ประทับใจมากๆครับ
ประทับใจสุดๆ
face2cu
Tag :
นิยาย,
"The Last Resignment" การลาออกครั้งสุดท้าย โดย ภาณุมาศ ทองธนากุล.
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2554 (บทความเก่า) ผมได้ไปเดิน Se-ed book กับเพื่อน อยู่ๆเห็นหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า การลาออกครั้งสุดท้าย "The Last Resignment" แล้วก็เหมือนกับมีแรงดึงดูด ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แล้วผมก็เปิดๆ อ่านดูด้านหลัง และเจอคำนิยม ก็มีคุณฐิตินาถ ณ พัทลุงซึ่งเธอเป็นนักเขียนที่ผมชื่นชอบ และเคยได้ฟังธรรมจากเธอด้วย เลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์แน่ๆ
ว่าแล้วก็ควักเงินที่พึ่งหามาได้ ซื้อโดยไม่ลังเล
เมื่อได้หนังสือ โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คิดว่าคงจะอ่านไม่จบแน่ๆ เลย เพราะปกติ เป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือจบ และก็เป็นคนอ่านช้าด้วย แต่พอผมได้เริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้
ผมก็รู้สึกว่าเนื้อหาน่าติดตาม แล้วมันก็ลุ้นว่าจะเป็นไปอย่างที่เราคิดรึเปล่า
ก่อนเริ่มการอ่าน ผมสงสัยคำว่า การลาออกครั้งสุดท้าย
เมื่อเริ่มอ่าน ก็ปรากฎว่า เค้ายุให้เราลาออจากงาน เฮ้อ คนเราต้องทำงานซิ ไม่งั้นจะมีกินได้อย่างไร อยู่ๆ จะมายุให้คนลาออกจากงาน ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งคัดค้านว่าเขียนได้แต่คงจะทำไม่ได้ ซึ่งคนเขียนก็ได้ลาออกจริงๆ (ใจกล้ามากเลย) แต่คุณใบพัด (ผู้เขียน) ก็ได้มีการวางแผนก่อนการลาออก และหลังจากนั้นก็เป็นคนที่มีความสุขในฐานะคนว่างงาน แต่แล้วก็มีเรื่องให้ต้องพลิกผัน หากใครอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอให้ลองหนังสือเล่มนี้จะเล่าเรื่อง พร้อมแฝงข้อคิดต่างๆ ให้ด้วยครับ
ผมจะขอนำข้อคิดที่ผมคิดได้จากหนังสือเล่มนี้มาแบ่งปันให้กับคนรักนะครับ
(ในหนังสือเขียนว่าสามารถแบ่งปันได้)
เรื่องการบริหารเงิน
หนังสือหลายๆ เล่มเน้นที่ว่าหาเงินอย่างไรให้ได้เงินมากที่สุด ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกด้านนึงซึ่งคนอาจไม่นึกถึง คือการใช้จ่ายนั้นเอง คุณใบพัดเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัีดว่า การบริหารเงินนั้นถ้ามีการบริหารทั้งสองฝั่ง เราก็สามารถที่จะเพิ่มตัวเลขในสมุดบัญชีเราได้
เรื่องเวลาในชีวิต
ในชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้างนั้น ต้องเอาเวลาไปแลกมากับเงินที่ได้ บางคนทำงานที่ตนไม่ได้รักก็จะรู้สึกว่าต้องใช้เวลาที่ตนมีแลกกับเงิน แต่ถ้าหากว่าทำในสิ่งที่รัก เราก็จะสนุกกับมันและตัวเงินนั้นก็จะตามมาเอง แต่ที่สำคัญคือว่าเราต้องค้นหาตัวเองให้พบว่าเรานั้นชอบอะไรกันแน่
เรื่องด้านต่างๆ ในชีวิต
ผมรู้สึกชอบในลักษณ์การเขียนของเค้าเพราะว่า ในชีวิตของคนเราบางครั้งจะมองเห็นแต่ส่วนเดียว บางคนอาจจะทำแต่งานจนหลงลืม งานบ้าน หรือการคุยกับคนทางบ้าน และมีด้านอื่นๆ อีก ซึ่งพออ่านแล้วก็รู้สึกสะท้อนตัวเองว่า เราควรที่จะแบ่งเวลาให้ดีกว่านี้เพื่อที่จะได้ทำให้สิ่งรอบข้างให้ดีกว่านี้
เรื่องการเปรียบเทียบ
ผมเป็นคนนึงที่ชอบเปรียบเทียบ เปรียบทุกอย่างไม่ว่าจะสิ่งที่เทียบกันได้ หรือสิ่งที่เทียบกันไม่ได้ซึ่งสุดท้าย ซึ่งผลที่ได้ก็มีทั้งทำให้ตัวเองรู้สึกดี หรือไม่ก็ทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่พอได้อ่านก็รู้ว่าในชีวิตคนเรานั้นอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น จงเป็นตัวของตัวเองจะดีที่สุด
จริงๆ แล้วมีอีกเยอะเลยครับ ยังไงอย่าลืมหาอ่านกันนะครับ
face2cu
ว่าแล้วก็ควักเงินที่พึ่งหามาได้ ซื้อโดยไม่ลังเล
เมื่อได้หนังสือ โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คิดว่าคงจะอ่านไม่จบแน่ๆ เลย เพราะปกติ เป็นคนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือจบ และก็เป็นคนอ่านช้าด้วย แต่พอผมได้เริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมอ่านจบภายใน 4 วัน
(คนอื่นอาจจะเห็นว่าช้า แต่สำหรับผมมันเร็วมากอ่านช่วงก่อนนอน)
ก่อนเริ่มการอ่าน ผมสงสัยคำว่า การลาออกครั้งสุดท้าย
การลาออกมาแล้วอยู่บ้านมีเงินมากมาย อยู่สบาย
หนังสือเล่มนี้จะเป็นการสอนให้คนหาเงิน เยอะๆ รึเปล่านะ
หรือ
ฝึกความอดทนไม่ให้ลาออกอีก
หนังสือเล่มนี้จะสอนให้เราฝึกให้เราเป็นลูกจ้างที่ดีรึเปล่านะ
เมื่อเริ่มอ่าน ก็ปรากฎว่า เค้ายุให้เราลาออจากงาน เฮ้อ คนเราต้องทำงานซิ ไม่งั้นจะมีกินได้อย่างไร อยู่ๆ จะมายุให้คนลาออกจากงาน ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งคัดค้านว่าเขียนได้แต่คงจะทำไม่ได้ ซึ่งคนเขียนก็ได้ลาออกจริงๆ (ใจกล้ามากเลย) แต่คุณใบพัด (ผู้เขียน) ก็ได้มีการวางแผนก่อนการลาออก และหลังจากนั้นก็เป็นคนที่มีความสุขในฐานะคนว่างงาน แต่แล้วก็มีเรื่องให้ต้องพลิกผัน หากใครอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอให้ลองหนังสือเล่มนี้จะเล่าเรื่อง พร้อมแฝงข้อคิดต่างๆ ให้ด้วยครับ
ผมจะขอนำข้อคิดที่ผมคิดได้จากหนังสือเล่มนี้มาแบ่งปันให้กับคนรักนะครับ
(ในหนังสือเขียนว่าสามารถแบ่งปันได้)
เรื่องการบริหารเงิน
หนังสือหลายๆ เล่มเน้นที่ว่าหาเงินอย่างไรให้ได้เงินมากที่สุด ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกด้านนึงซึ่งคนอาจไม่นึกถึง คือการใช้จ่ายนั้นเอง คุณใบพัดเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัีดว่า การบริหารเงินนั้นถ้ามีการบริหารทั้งสองฝั่ง เราก็สามารถที่จะเพิ่มตัวเลขในสมุดบัญชีเราได้
เรื่องเวลาในชีวิต
ในชีวิตการทำงานเป็นลูกจ้างนั้น ต้องเอาเวลาไปแลกมากับเงินที่ได้ บางคนทำงานที่ตนไม่ได้รักก็จะรู้สึกว่าต้องใช้เวลาที่ตนมีแลกกับเงิน แต่ถ้าหากว่าทำในสิ่งที่รัก เราก็จะสนุกกับมันและตัวเงินนั้นก็จะตามมาเอง แต่ที่สำคัญคือว่าเราต้องค้นหาตัวเองให้พบว่าเรานั้นชอบอะไรกันแน่
เรื่องด้านต่างๆ ในชีวิต
ผมรู้สึกชอบในลักษณ์การเขียนของเค้าเพราะว่า ในชีวิตของคนเราบางครั้งจะมองเห็นแต่ส่วนเดียว บางคนอาจจะทำแต่งานจนหลงลืม งานบ้าน หรือการคุยกับคนทางบ้าน และมีด้านอื่นๆ อีก ซึ่งพออ่านแล้วก็รู้สึกสะท้อนตัวเองว่า เราควรที่จะแบ่งเวลาให้ดีกว่านี้เพื่อที่จะได้ทำให้สิ่งรอบข้างให้ดีกว่านี้
เรื่องการเปรียบเทียบ
ผมเป็นคนนึงที่ชอบเปรียบเทียบ เปรียบทุกอย่างไม่ว่าจะสิ่งที่เทียบกันได้ หรือสิ่งที่เทียบกันไม่ได้ซึ่งสุดท้าย ซึ่งผลที่ได้ก็มีทั้งทำให้ตัวเองรู้สึกดี หรือไม่ก็ทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่พอได้อ่านก็รู้ว่าในชีวิตคนเรานั้นอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น จงเป็นตัวของตัวเองจะดีที่สุด
จริงๆ แล้วมีอีกเยอะเลยครับ ยังไงอย่าลืมหาอ่านกันนะครับ
face2cu
Tag :
พัฒนาตนเอง,
"เจ็บแต่จบ" เขียนโดย รุ่งพร มีศิลป์
"สบตากับความทุกข์อย่างกล้าหาญ และจัดการให้ถึงจิตใต้สำนึก"
เขียนโดย รุ่งพร มีศิลป์
หนังสือเล่มนี้ผมเจอในบ้านครับ พี่สาวผมซื้อมาครับ มองผ่าน นึกกว่าเป็น club friday เพราะเจ็บแต่จบ เป็นเพลงของอ๊อฟ ปองศักดิ์ ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ และผมก็คิดว่าคงจะเป็นเกี่ยวกับความรักแน่ๆ จนผ่านมาแล้ว มากกว่า สามเดือน เริ่มหยิบมาอ่าน ก็แปลกใจที่หนังสืออ่านอิงเกี่ยวข้องกับ ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้ที่เขียนเข็มทิศชีวิต
ผมชอบหนังสือเข็มทิศชีวิตมากๆ ครับ เขียนได้เข้าใจง่ายในเรื่องธรรมะ และผมยังเคยได้ไปเจอครูอ้อยมาสอนธรรมะที่ยุวพุทธด้วย เล่าซะยาวเลย กลับมาที่หนังสือดีกว่า เมื่อเจอคำนิยมผมจึงกลับมาลองกลับมาอ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง ซึ่งเมื่อพลิกมาแล้ว ก็รู้สึกชอบวิธีการเขียน ของคุณรุ่งพรมากๆครับ
การเขียนนั้นในหนึ่งหน้าจะมีประโยคตัวหนังสือใหญ่ๆ อยู่ไม่เกิน เจ็ดบันทัด โดยประมาณ ดังนั้นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือแบบผมก็อ่านจบได้อย่างรวดเร็วครับ พร้อมทั้งมีรูปภาพโดนๆ ที่มองแล้วก็เข้าใจไม่ต้องมีคำอธิบายก็เข้าใจครับ
เนื้อหานั้นเล่าตั้งแต่การรู้จักทุกข์ วิธีการพ้นทุกข์ จนไปถึงทางพ้นทุกข์ แต่เป็นการเขียนที่ทำให้เราเห็นภาพมาก อ่านแค่สามประโยคก็แบบว่าโดนเต็มๆ ผู้เขียนนั้นสามารถนำเรื่องจริงในชีวิตมาสะท้อนให้เห็นภาพว่า ความทุกข์เหล่านี้มันมีอยู่จริง แล้วค่อยๆ บอกวิธีการแก้ไข โดยบางครั้งความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะโดยถ่ายทอดมาจากคนที่เราเชื่อใจมากที่สุดครับ ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกล คือ คุณพ่อคุณแม่นี้เอง
แต่ความจริงแล้วท่านไม่ได้ตั้งใจที่จะถ่ายทอดความทุกข์ลงมา เพียงแต่ท่านแสดงออกมาพร้อมกับความรักโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้เด็กที่เหมือนผ้าสีขาวถูกละเลงด้วยความไม่รู้ของท่าน ซึ่งเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ หนังสือก็สอนให้เข้าใจถึงท่าน และสามารถให้อภัยตัวเอง ให้โอกาสตัวเอง กลับมารักตัวเอง ทำสิ่งที่ดีเพื่อตัวเอง ไม่ประชดตนเอง เพื่อลงโทษท่าน(พ่อแม่) ผมรู้สึกชอบในหลักการนี้มากๆ เพราะบางครั้งผมก็มีนิสัยแบบนั้นเช่นเดียวกันครับ
เล่ามาซะเยอะครับ หากใครอยากรู้ว่าครูอ้อย สอนอะไร แต่ยังไม่มีโอกาส ไปเรียนเข็มทิศจิตใต้สำนึก หรือTrance ก็ขอลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดูครับ อาจก็ทำให้เข้าใจหลักการได้เหมือนกันครับ
face2cu
Tag :
พัฒนาตนเอง,